SURASAK WITOON (สุรศักดิ์ วิฑูรย์)

รูปภาพของฉัน
Baan Nonbok, Det-Udom, Ubon Ratchathani, Thailand
Over 24 years I have been living in Ubon Ratchathani. Even if I was born in Chantaburi, I remember nothing about my birth place. More than a half of my life time was spent in the middle of the rice farm. After I went to the city for a sake of education, my world become wider. The more I walk further, the more it becomes wider. However, the more I walk to the bigger world, the futher I am leaving my homeland, father, mother, sisters, brother, nephews, nieces, and my fellows relatives. Whatever will be happening, I am now still walking, seeing how big the world is. But one day, I will be making my way homewards.

วันจันทร์, สิงหาคม 18, 2557

บัวงามวิทยา

บ.ว.

...เพื่อน....

เวลา ตีสามกว่า ๆ ฝนพึ่งหยุดตก อาจจะเป็นเพราะอากาศที่เย็น หรือเพราะความเงียบของคืนเดือนมืดกลางกรุง ที่ทำให้เรานึกหวนกลับไปเห็นตัวเองกับเพื่อน ๆ ตอนสมัยเป็นนักเรียน โรงเรียนบัวงามวิทยาที่มีอาคารเรียนสามชั้นหลังนึง รถรับส่งนักเรียน สนามหญ้า โรงอาหาร สระบัว ภาพแห่งช่วงเวลาที่เคยมีกับเพื่อนหลั่งไหลเข้ามาชโลมใจเพื่อนให้พองโตในคืน ที่กำลังนั่งจมอยู่กับตัวหนังสือเพียงคนเดียว.. ความคิดถึงเพื่อนนั้นไม่รู้มาจากไหน หรืออาจจะมากับลมที่พัดไปเมื่อครู่ ใครจะรู้? แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมความคิดถึงเพื่อนมันจึงถาโถมเข้ามาได้มากถึง ขนาดนี้ แค่เผลอใจวูบเดียวจริง ๆ อย่างนั้นก็เลยลองปล่อยเวลาให้ผ่านไปกับความรู้สึกนึกคิดของตัวเองอย่าง อิสระบ้างจะเป็นไร? เราคงไม่รู้ตัวหรอก.ว่าตัวเองเผลอยิ้มและนั่งหัวเราะกับมันไปกี่มากน้อย เท่าไร แต่มันเป็นอีกหนึ่งความสุขที่หาได้ไม่ยากเลย ว่าไหม..?. หากแต่การนั่งเล่นกับความทรงจำของตนเองกลับเป็นการเตือนสติตัวเองให้เข้าใจ อีกครั้งว่า อดีต.ก็คงเป็นอดีต อดีตที่เราจะเรียกร้องเอากลับมาเป็นปัจจุบันอีกครั้งก็คงไม่ได้ แต่แน่นอนว่าเราแอบรู้สึกดีใจกับตัวเองทุกครั้งที่ความทรงจำยังทำให้ตัวเอง ยิ้มได้ทุกเวลาที่นึกหรือคิดถึงเพื่อน J.... ณ วันนี้ เพื่อนๆ คงเดินตามทางชีวิตของตนเองที่แต่ละคนเลือกสรรด้วยตั้งใจ ไม่รู้ว่าใครเดินทางเก็บเกี่ยวสิ่งใดไปมากน้อยเท่าไรหรือเข้าใกล้ถึงหวังของ ตัวเองมากน้อยเพียงใด? เราเองคงจะดีใจไม่น้อยแค่ได้ยินข่าวว่าเพื่อนแต่ละคนกำลังเดินทางชีวิตอย่าง ราบรื่นและงดงาม หากจะยากลำบากบ้างในบางครั้ง ก็ถือว่าเป็นการทดสอบความแข็งแกร่งและแรงใจตน แต่ก็ขออย่าให้มากเกินไปนักจนทำให้เพื่อนหมดหวังหรือล้มก่อนถึงฝันของเพื่อน เลย แต่ถึงอย่างไรเราก็เชื่อมันในความสามารถและแรงใจของเพื่อนแต่ละคนอยู่ แล้ว...
หวังว่าคงได้พบเจอกันในเร็ววัน
เก่ง
๒๗ กันยายน ๒๕๕๔
จากห้องเช่าชั้น ๔ ที่มองเกือบเห็นโดมพระจันทร์ บางกอกน้อย เมืองกรุง

My Songkran 2012

My Songkran 2012

 
Songkran festival is approaching. What was the most touching moment do you still remember about it? One of my Songkran days still lingers in a memory. It was when my friends and I were carrying a bucket of water with fragrant flowers inside. We were walking around with the bucket to visit each of the elderly in our small village, in Det-Udom, in order just to have a gentle shower on their wrinkle hands and feet.  House by house we visited and received cotton robes and wishes; they were made to us, children, in a very simple way, but very sincere and strong in good wills. Sometimes, grandpas asked us to give them a big shower; we were not bothered to make a new bucket of fragranced water and carry on our naïve intention to the next. There was a sudden tight inside my stomach when our rally was approaching my home area. It was incredibly difficult as I still felt like a fool, being quietly shy to pay respect to my own father.  It’s like a shame, but I really and truly was. He was working on the bamboo thing before I asked him for a while.  A hand of mine was pouring and another holding his hands and my mind started contemplating. It was my very first time touching his hands with careful attention. The hands were not only wrinkled, but so tough with rough skin that I never imagined. I simply knew that he worked hard but I never felt it. His hands were so rough, but his feet were even more than that.  I decided to take him a shower with two bucket of water (only).  The two eyes of a 60-year-old father were wet not just because of the water. I knew it after one of my friends told me to apply some powder for him before we left for the next visit.

"My Songkran this year will be in Bangkok again."
12 April 2012
04:05 am
Bangkok Noi, Bangkok

วันศุกร์, เมษายน 29, 2554

วันจันทร์, เมษายน 04, 2554

วันเสาร์, ธันวาคม 11, 2553




...อย่าร้องไห้เลย อย่าเอ่ยถ้อยคำใดๆให้เศร้า
ถ้ารักแล้วจงลืม ลืมความเสียใจ เมื่อจำต้องจาก
พรุ่งนี้จะทำอย่างไร ไม่มีกัน ?
พรุ่งนี้ต้องสร้างความหวัง  ขึ้นใหม่
จดจำแต่เรื่องดีๆ ที่เคยทำ
ผิดพลั้งเรื่องใดพลาดไป อภัยกัน
แม้เธอเคยอยู่ข้างนาย เสมอมา
เมื่อเธอจากลาต้องยืน ให้เข้มแข็ง
อย่าร้องไห้เลย อย่าเอ่ยถ้อยคำใดๆให้เศร้า
ถ้ารักแล้วจงลืม ลืมความเสียใจ
เมื่อจำต้องจาก
"พรุ่งนี้" 

วันศุกร์, สิงหาคม 06, 2553

คุณครู

โดย สุรศักดิ์   วิฑูรย์


ผมไม่อาจรู้ได้ว่ามันเป็นบุญ เป็นโชคชะตา เป็นวาสนา หรือเป็นเพียงแค่สายลมที่หลงทางมาแล้วพัดพาผมให้มาเลือกลงเรียนกับอาจารย์ตอนอยู่ปีสาม แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ชั่ง ผมถือว่าผมโชคดีและต้องขอขอบคุณสิ่งนั้นที่ทำให้ผมรู้จักอาจารย์ กับโอกาสหลาย ๆ อย่าง ที่ผมเองมีสิทธิที่จะปฏิเสธมันก็ได้ แต่ผมเลือกมัน... การเป็นศิษย์ของอาจารย์เมธี โอกาสหลาย ๆ อย่างดังกล่าวคงเล่าได้ไม่หมดเพียงไม่กี่หน้ากระดาษ อย่างแรกคือการเอาใจใส่ต่อนักศึกษาของจารย์ แน่นอน กับการที่ผมเปลี่ยนจากการนุ่งการเกงนักเรียนขาสั้นสีกากี มาเป็นกางเกงแสลกสีดำนั้น ไม่ได้ทำให้ผมเป็นผู้ใหญ่ได้ภายในปีสองปี ใช่หรือไม่ว่า หลายครั้งความเป็นเด็กที่หลงเหลืออยู่ในตัวของเรานั้นคอยแต่จะอ้อนให้เราทำเป็นเหนื่อย ไม่อยากอ่านหนังสือ อยากนอนมากกว่า การบ้านเอาไว้ก่อนแล้วกัน หรือว่าไปเรียนสายก็คงไม่เป็นไร นั่นคืออาการของคนใกล้จะหลงทางใช่หรือไม่ การหลงทางเกิดขึ้นได้กับเด็กเสมอเมื่อเดินทางไปในที่ที่ไม่คุ้นเคยโดยปราศจากผู้ใหญ่คอยชี้แนะนำทาง บ่อยครั้งผมรู้สึกว่ายังเป็นเด็กที่ต้องการการอบรม ส่งสอน ตักเตือนจากผู้ใหญ่ ให้รู้ว่าตัวเองเป็นใครและหน้าที่ของตัวเองคืออะไรอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบ่อยครั้งที่เถลไถล อาจารย์ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่คอยดูแลเอาใจใส่ตักเตือนเราราวพ่อกับแม่ ผมได้รู้ว่า คำส่งสอนตักเตือนของจารย์ หากเราปล่อยให้มันผ่านไปตามลมมันก็เป็นเพียงเคลื่อนเสียงที่เหือดหายสิ้นแรงไปกับสายลมและแสงแดดนั้นในเวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่ถ้าหารเราน้อมรับมันไว้ มันก็ทำให้เรามีกำลัง มีแรงที่จะเล่าเรียนเพื่ออะไรสักอย่างที่ไม่ใช่แค่การมาเข้าห้องเรียน ไปทานข้าวกับเพื่อน หรือเรียนผ่าน ๆ ไปวัน ๆ  (for something not for nothing)  แค่คำว่าดีใจและขอบคุณคงไม่พอกับการมีอาจารย์คอยชี้ทางให้เลือกเดิน หากวันข้างหน้าของการเป็นครูของผมมาถึงผมจะทำหน้าที่ผู้นำทางให้ศิษย์ให้ดีเท่ากับอาจารย์
หากชีวิตการเป็นนักศึกษาคือการแสวงหาหนทางเพื่อตามหาความฝันของวัยหนุ่มสาว อาจารย์ก็เป็นแบบอย่างให้ศิษย์ผู้นี้ได้เรียนรู้และถือเป็นแบบอย่างได้เป็นอย่างดี ครูคืออาชีพที่ผมอยากใฝ่ฝัน เพราะอยากจะสอนและชอบสอนภาษาอังกฤษ แต่เมื่อได้มาเรียนรู้อาจารย์ การเป็นครูมันมากกว่านั้นนัก เปล่าเลย “มาก” ไม่ได้ทำให้ผมเกรงกลัว ตรงกันข้ามกลับยิ่งอยากเป็นครูมากยิ่งขึ้น อยากเป็นครูที่ไม่ได้สอนเฉพาะภาษาอังกฤษ แต่ขัดเกลาศิษย์ให้เห็น ศีลธรรม จริยธรรม ความถูกต้อง ความชอบธรรม ความเอื้อเฟ้อเผื่อแผ่ ความมีน้ำใจ สิ่งเหล่านี้ผมได้ยินหลายคนบอกกล่าวถึงอยู่บ่อย ๆ และฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เพ้อฝันเกินจริง แต่ผมเห็นอาจารย์ทำมันผ่านตาผมหลายครั้ง และเลยเข้าไปถึงใจเห็นได้ถึงความมุ่งมั่นและแน่วแน่ของอาจารย์ มันจะเป็นเรื่องเพ้อฝันได้อย่างไรกันเล่า สิ่งสำคัญจึงไม่ใช่แค่ได้ยินจากปากอาจารย์หรือใครต่อใคร หรือได้เห็นด้วยตา แต่มันคือศรัทธาและความชื่อมั่นที่ผมจะทำในสิ่งที่หลายคนเรียกว่าความเพ้อฝันเหล่านี้ให้เป็นจริงอีกหลาย ๆ ครั้งต่อจากนี้ไป
ที่ละรายละเอียดผมพยายามดูดซับจิตวิญญาณแห่งความเป็นครูจากอาจารย์อย่างเงียบ ๆ ตามแบบของผม
อาจารย์เป็นครูได้ทุกที่ทุกเวลา อาจารย์ไม่ได้สอนผมแต่ในห้องเรียนหรอก บนถนนผมยังได้เรียนรู้จากอาจารย์ที่สั่งสอนศิษย์ได้ตลอดเวลา หลายครั้งคำสอนฟังดูคล้าย ๆ เสียงของครูแก่ขี้บ่น แต่หากฟังดูดี ๆ อีกครั้ง มันเป็นการปลูกฝังเพื่อเรา ๆ โดยปฏิเสธไม่ได้เลย อาจารย์ยังเป็นครูผู้เสียสละที่บ่อยครั้งต้องการเพียงแค่รอยยิ้มเป็นค่าแรง บางครั้งจากอาจารย์แก่ ๆ ก็เป็นคุณตาใจดีหอบหิ้วอุปกรณ์การเรียนไปสอนเด็กน้อยในสวนใต้ร่มไม้ คุณตาสละกำลังกายวัยชรา กำลังทรัพย์จากน้ำพักน้ำแรงตนมาแต่เริ่มแรก รวมถึงเวลาพักผ่อนตามประสา ไปกับการทำงานเพื่อสังคม การเดินทางไปสอนเด็กน้อยที่บ้านเกิดของตัวเองของคุณตา มันคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ใจผมชุ่มฉ่ำ อยากให้ในสิ่งที่อาจารย์หยิบยื่นให้กับเด็ก ๆ เหล่านั้นบ้าง จริงหรือไม่ว่ายิ่งเราได้มีโอกาสไปช่วยผู้อื่น มันยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองมีค่าต่อคนอื่นมากขึ้น และเมือเราได้ใช้ความสามารถของตนเองเพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์กับคนอื่น ก็ทำให้ใจของเราพองโตขึ้นมาไม่น้อยเลย  อาจารย์จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจแห่งการช่วยเหลือ แบ่งปัน และ สร้างสรรค์ ของผมตลอดมา  
หลายครั้งอาจารย์กลายเป็นพระที่เทศนาธรรมได้ทั้งวันพระและวันธรรมดา การพูดถึงผลบุญจากการให้ทาน การรักษาศีล และการทำสมาธิ ภาวนา ของอาจารย์ ผมจะได้ยินแทบทุกวัน แต่สิ่งที่เห็นและเข้าใจคือความหวังดีที่มีต่อศิษย์ อยากให้ศิษย์เป็นคนดีและได้รับผลบุญจากการกระทำดีของตน หากจะมีความดีใดที่สามารถทำได้ ผมก็จะทำโดยไม่ลังเลใจ มันไม่สำคัญหรอกว่าการพูดเรื่องบาปบุญของอาจารย์จะน่าเบื่อมากแค่ไหน แต่สิ่งที่สำคัญคือทำไม อาจารย์จึงคอยบอกกล่าวกับหลาย ๆ เรื่อง ไม่ใช่แค่เรื่องบุญ บาป แต่รวมไปถึงการเรียน การตรงต่อเวลา การคิด การมีวินัย การมีคุณธรรม จริยธรรม การ อีก ต่าง ๆ มากมายหลายการ
อีกครั้ง...สำหรับคำว่าดีใจหรือขอบพระคุณคงไม่เพียงพอกับสิ่งที่ผมได้รับจากการเข้ามาเป็นศิษย์ของอาจารย์ และได้มีอาจารย์เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต ผมไม่ใช่คนวิเศษมาจากไหน แค่เด็กน้อย ทำตัวโง่ ๆเข้าไว้ แล้วพยายามทำตัวให้เป็นเหมือนกับฟองน้ำอันกระหายหิว ซึมซับ เอาความรู้ ประสบการณ์ จากผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนก่อนเรา ก็เท่านั้น

เก่ง / ซิ่ง
(๐๖: ๐๒ น.)  
๗ สิงหาคม ๒๕๕๓

วันจันทร์, กรกฎาคม 26, 2553